ประเทศไทยเริ่มรู้จักและให้ความสนใจในเรื่องของจารึก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยที่ยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ขณะทรงผนวชอยู่ ในปีพุทธศักราช 2376 ได้เสด็จจาริกธุดงค์ไปยังหัวเมืองมณฑลฝ่ายเหนือของประเทศไทย เมื่อเสด็จถึงเมืองสุโขทัยทรงพบศิลาจารึก 2 หลัก คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ภาษาไทย และศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร พร้อมด้วยพระแท่น มนังศิลาบาตร ที่บริเวณเนินปราสาทในวัดมหาธาตุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าเป็นโบราณวัตถุสำคัญ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ 

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระองค์แรกที่ทำให้คนไทยเห็นคุณค่าของจารึก และทรงเป็นนักอ่านจารึกพระองค์แรกของประเทศไทยอีกด้วย ทรงพระราชอุตสาหะอ่านและทรงแปลอธิบายถ้อยคำในศิลาจารึกเป็นภาษาอังกฤษ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยอ่านและศึกษาจารึกนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ก็ทรงเป็นแม่กองควบคุมคณะนักปราชญ์ราชบัณฑิต คัดลอกอักษรจากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชด้วย

 
สำเนาลายพระหัตถ์ ร.4

          ในปีพุทธศักราช 2398 เซอร์ จอห์น เบาริง (Sir John Bowring) ราชทูตอังกฤษได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานสำเนาคัดอักษรพิมพ์หิน พร้อมด้วยลายพระหัตถ์คำแปลเป็นภาษาอังกฤษบางคำแก่เซอร์ จอห์น เบาริง และทรงพระราชทานสำเนาจารึกอีกชุดหนึ่งให้ราชทูตฝรั่งเศสด้วย ซึ่งในปีพุทธศักราช 2400 เซอร์ จอห์น เบาริง ก็ได้นำตัวอย่างสำเนาจารึกที่ได้รับพระราชทานนั้นพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในหนังสือ The Kingdom and People of Siam 

          ต่อมาในปีพุทธศักราช 2406 นายอดอล์ฟ บาสเตียน (Adolf Bastian) ชาวเยอรมันได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพ ฯ และได้แปลจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารชื่อ Journal of the Royal Asiatic Society of Bengal ใช้ชื่อเรื่องว่า On Some Siamese Inscriptions

          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณระหว่างพุทธศักราช 2425-2428 นายพันตรีเอโมนิเอ (Aymonier) ชาวฝรั่งเศส ผู้สำเร็จราชการกรุงกัมพูชา ได้เที่ยวสำรวจหาจารึกของกัมพูชา และได้พบจารึกของไทยโดยบังเอิญจึงรวบรวมไว้ด้วย เช่น จารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี พบที่จังหวัดลพบุรี เป็นต้น นับว่าเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เสาะหา รวบรวมจารึก และคัดลอกสำเนาจารึกที่รวบรวมได้ส่งไปเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของจารึกในการให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านเมืองในอดีต และทรงเกรงว่าจะถูกทำลาย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ และข้าหลวงมณฑลต่างๆ แสวงหาจารึกมาเก็บไว้ในพระนคร 

          ต่อมานายออกูสท์ ปาวี (Auguste Pavie) ชาวฝรั่งเศสได้เป็นผู้รวบรวมจารึกของไทยโดยคัดลอกทำสำเนาจารึกที่เก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพฯ รวมทั้งจารึกที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และหลวงพระบาง จำนวน 31 หลัก และได้มอบสำเนาจารึกที่คัดลอกนั้นให้แก่ บาทหลวง ชมิตต์ (Pere Schmitt) ที่เมืองฉะเชิงเทรา แปลเป็นภาษาฝรั่งเศส นับเป็นชาวยุโรปคนแรกที่อ่านและแปลจารึกของไทย พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือ Mission Pavie ต่อมาในปีพุทธศักราช 2434 นายฟูร์เนอโร (Fournereau) ช่างเขียนชาวฝรั่งเศสได้นำสำเนาจารึก 16 หลักไปพิมพ์ในหนังสือ Le Siam ancient ในปีพุทธศักราช 2438 

           ปีพุทธศักราช 2450 มีชาวต่างประเทศที่สนใจค้นหาจารึกในประเทศไทยรวม 2 คน คือ พันตรี ลูเนต์ เดอ ลายงเกียร์ (Commt. Lunet de Lajonquiere) ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เอาใจใส่ค้นหาจารึก และได้พบจารึกสำคัญๆ หลายหลัก ทำสำเนาคัดลอกส่งไปยุโรป และพันตำรวจตรี ไซเดน ฟาเดน (Commt. E. Seidenfaden) ชาวเดนมาร์ก เป็นผู้เอาใจใส่ค้นหาของโบราณในเขตภาคอีสาน ได้พบโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมาก

           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระยุพราช ในปีพุทธศักราช 2451 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปจังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย และสวรรคโลก ทรงค้นหาสถานที่ต่างๆ โดยทรงตรวจสอบกับข้อความในจารึกที่พบในจังหวัดสุโขทัย พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์ เรื่อง เที่ยวเมืองพระร่วง 

           ปีพุทธศักราช 2452 ศาสตราจารย์ คอร์นีเลียส บีช แบรดเลย์ (Cornelius Beach Bradley) ชาวอเมริกันได้ชำระและพิมพ์คำแปลจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในหนังสือ The Oldest Known Writing in Siamese

           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องราวทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ทรงเห็นความสำคัญของจารึกในด้านที่เป็นแหล่งข้อมูลเรื่องราวในอดีต เมื่อเสวยสิริราชสมบัติแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมจารึกจากที่ต่างๆ เก็บรักษาไว้ ณ หอพระสมุดสำหรับพระนคร ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการสำรวจและรวบรวมจารึกครั้งนั้น คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นสภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร ทรงขวนขวายแสวงหาจารึกจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักร ได้ทรงศึกษาวิธีทำสำเนาจารึกและให้เขียนคำแนะนำวิธีทำสำเนาจารึกแจกไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อให้ช่วยทำสำเนาจารึกส่งมาไว้ที่หอพระสมุดฯ ทำให้รวบรวมจารึกได้เป็นจำนวนมาก ศิลาจารึกใดที่ยังไม่อาจเคลื่อนย้ายมาได้ก็ให้ทำบัญชีไว้ว่าจารึกหลักใดเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง มีรายละเอียดเกี่ยวกับจารึกอย่างไรให้ระบุไว้ด้วย จารึกที่รวบรวมได้ในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดให้ ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ (George Coedes) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบรรณารักษ์ใหญ่ประจำหอพระสมุดวชิรญาณ ในขณะนั้นอ่านและอธิบายความหมายข้อความในจารึกต่างๆ ที่รวบรวมมาไว้ และจัดพิมพ์คำอ่านจารึกขึ้นเป็นหนังสือชุด เรียกว่า ประชุมศิลาจารึก

           นับตั้งแต่มีการจัดพิมพ์หนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ 1 ครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช 2467ก็ได้มีการพิมพ์หนังสือประชุมศิลาจารึกอีกหลายครั้ง เนื่องจากมีผู้สนใจศึกษาจารึกเพิ่มขึ้น และได้มีการค้นคว้าหาหลักฐานใหม่ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาถ้อยคำและข้อความในจารึกมากขึ้นโดยลำดับ ปีพุทธศักราช 2497 วิชาการอ่านจารึกก็ได้รับการจัดเข้าไว้ในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรจนถึงปัจจุบัน

           การศึกษาจารึกในประเทศไทยเป็นที่สนใจในหมู่นักวิชาการศึกษาของชาติทุกระดับ นับจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมาจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ในปัจจุบันสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ทรงสนพระราชหฤทัยในวิชาการอ่านจารึกเป็นอย่างมาก ในปีพุทธศักราช 2520 ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยานิพนธ์ที่ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อรับพระราชทานปริญญามหาบัณฑิตคือเรื่อง จารึกพบที่ปราสาทพนมรุ้ง [The Inscriptions found at Prasad Bnam Run (Prasat Phnom Rung)] จุดมุ่งหมายสำคัญของวิทยานิพนธ์นี้ คือ การอ่านและแปลจารึกสันสกฤตและเขมร ซึ่งพบที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเสนอข้อมูลในทางภาษาศาสตร์ สังคมวิทยา ประวัติศาสตร์ และศาสนาในสมัยนั้น ปัจจุบันความสนใจในการศึกษาศิลาจารึกได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก